ยุวเกษตรกรแลกเปลี่ยน ณ สมาพันธรัฐสวิส ชยุตพงศ์ พรมลี – IFYE Thailand 2025

สวัสดีครับ ผมนายชยุตพงศ์ พรมลี ตัวแทนยุวเกษตรกรสมาคมยุวเกษตรกรสากลแห่งประเทศไทย (IFYE Thailand) จากประเทศไทยไปศึกษาดูงาน ณ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทาง IFYE Thailand ได้ให้โอกาสผมขยายโลกของเกษตรกรรมให้กว้างยิ่งขึ้น บทความนี้เป็นจะเล่าเกี่ยวกับจุดเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นประวัติ บทบาทด้านการเกษตร รวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้อาศัยอยู่กับทางโฮสแฟมิลี่ให้กับนักอ่านทุกท่าน

แนะนำตัวอีกครั้ง ผมนายชยุตพงศ์ พรมลี (เมฆ) อายุ 26 ปี เป็นคนจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่กำเนิด ผมเรียนจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันทำกิจการบริษัทเมล็ดพันธุ์ “สยามสตาร์ซีดส์” จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจสืบทอดจากที่บ้าน เดิมทีผมไม่ได้มีความสนใจทางด้านเกษตรเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตหรือความผูกพัน แต่ด้วยเพราะมีโอกาสได้ช่วยกิจการที่บ้านตั้งแต่จำความได้มาตลอดกว่า 20 ปี ทำให้ผมมีพื้นฐานและความรู้ด้านการเกษตร ซึมซับจากประสบการณ์ที่ลงมือลงแรงทำจริงทั้งด้านเกษตรกรรมและธุรกิจ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่จากการดูงาน ทำให้ “สิ่งที่คิดว่าทำได้ดี” สามารถต่อยอดเพื่อเป็นหลักมั่นคงของชีวิตได้

บ้านของผมอยู่ในฟาร์มที่ชื่อว่า “บ้านนอกคอกนา” ในตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ บนพื้นที่ 60 ไร่ สถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงบ้านหรือฟาร์ม แต่เป็นศูนย์การเรียนรู้สำหรับกลุ่มคนที่ต้องการเรียนรู้ด้านการเกษตรและพัฒนาตนเองตามหลักทฤษฎีเศษรฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 รวมถึงเป็นสถานที่ทดสอบสายพันธุ์พืชของบริษัทเพื่อสร้างความมั่นใจว่าเมล็ดพันธุ์ที่จำหน่ายนั้นมีคุณภาพ โดยในแต่ละปีได้มีผู้สนใจไม่ต่ำกว่า 1000 คนจากทั้งในและต่างประเทศมาศึกษาดูงานที่ฟาร์มบ้านนอกคอกนาแห่งนี้

งานและหน้าที่ของผมแต่ละวันไม่ได้ตายตัว ไม่ว่าจะงานเอกสาร ระบบ Smart Farm ฝ่ายจัดส่ง ลงแปลง งานไม้ หรือแม้แต่งานเขียนนิยาย แต่เพราะสิ่งที่ต้องทำมีหลากหลายทำให้ผมมีความรู้รอบด้านและสามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ นอกจากงานในฟาร์มแล้วผมก็ยังออกไปดูพื้นที่ของกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ เพื่อศึกษาตลาดปัจจุบัน สภาพอากาศ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันเอาไว้ ทำให้ทุกปีบริษัทได้เจอกับกลุ่มคนและองค์กรมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ IFYE Thailand ที่ได้มอบหมายหน้าที่อันทรงเกียรติคือการเลือกให้ฟาร์มบ้านนอกคอกนาเป็นสถานที่อุปถัมภ์ยุวเกษตรกรจากประเทศอื่นที่มาศึกษาดูงานในประเทศไทย

ไม่กี่ปีที่ผ่านมาครอบครัวของผมได้เป็นผู้อุปถัมภ์ยุวเกษตรกรจากหลายประเทศ Dellany จากประเทศสหรัฐอเมริกา Eddy จากไต้หวัน ทั้งคู่เป็นคนที่น่ารัก ใฝ่ในความรู้และขยันขันแข็งราวกับเป็นคนในครอบครัวอีกคน ตลอดเวลาที่ได้เป็นผู้อุปถัมภ์นั้นเป็นความทรงจำที่ดีมาก ซึ่งเป็นตัวจุดประกายชีวิตในตัวผมที่อยากจะไปแบบเดียวกัน ได้ท่องโลกกว้าง เก็บเกี่ยวประสบการณ์ รวมถึงเติมเต็มความหมายของชีวิต จึงเป็นเหตุผลที่ผมสมัครเข้าโครงการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้

การเดินทางของผมเริ่มวันที่ 13 มิถุนายนโดยสายการบิน Qatar Airways จากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ ต่อเครื่องที่โดฮาประเทศกาตาร์ ก่อนจะไปถึงเมืองซูริค ณ สมาพันธ์รัฐสวิสในอีกวัน เป็นการเดินทางนานถึงหนึ่งวันเต็ม ถึงจะรู้สึกเหนื่อยแต่ก็ตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน หลังจากมาถึงสนามบินก็มี Swiss Coordinator ชื่อ Simon มาต้อนรับเล็กๆ อย่างอบอุ่นพร้อมกับยุวเกษตรแลกเปลี่ยนอีกคนชื่อ Mathew จากประเทศออสเตรเลีย พวกเราทำความรู้จักก่อนจะอธิบายการเดินทางด้วยรถไฟซึ่งเป็นการสัญจรหลักของที่นี่ ก่อนผมจะเดินทางจาก Zurich ไป Biel เพื่อพบกับโฮสแฟมิลี่ครอบครัวแรก

พอมาถึงที่ Biel ก็ได้พบกับ Ruth และ Amelie มารับด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินทางไป Suberg พอไปถึงก็เป็นช่วงอาหารเย็นพอดี อีกทั้งยังได้เจอกับสมาชิกคนอื่นๆ ทั้ง Andu และ Viviane Olivier รวมถึงเพื่อนบ้านที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ครอบครัวนี้ไม่ได้เป็นครอบครัวเกษตรแต่เคยได้เข้าร่วม IFYE ตั้งแต่สมัยก่อนและคอยรับหน้าที่เป็นโฮสแฟมิลี่นานกว่า 20 ปี เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้รับไม่ใช่แค่ความรู้อย่างเดียวแต่เป็นประสบการณ์ที่ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับต่างชาติมากด้วย

สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีภาษาพูดถึง 4 ภาษา (เยอรมัน / ฝรั่งเศส / อิตาลี / โรมาเนีย) อาหารหลักๆ ส่วนใหญ่เป็นขนมปัง ชีสและสลัด ถึงจะเป็นอาหารที่หาได้ง่ายในไทยแต่การที่ต้องกินเป็นกิจวัตรแทนข้าวก็เป็นสิ่งที่ต้องปรับตัวเหมือนกัน ทั้งฤดูกาล เวลา การใช้ชีวิต ฯลฯ แต่เพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากครอบครัวนี้เลยทำให้ทุกวันเป็นวันที่สนุกมากสำหรับผม ได้ฝึกทำกิจกรรมหลายอย่าง เช่น งานสวน จัดดอกไม้ ผลิตน้ำมันจากถั่ว สกัดน้ำหอมจากดอกไม้ ได้เดินชมเมือง Thun ซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของสวิสเซอร์แลนด์ รวมถึงเข้าร่วมการแข่งขัน Orienteering ที่เป็นการวิ่งไปตาม Checkpoint ต่างๆ ถึงจะเหนื่อยแต่ก็สนุกไปอีกแบบ และที่แปลกใหม่สำหรับผมคือการไปคลับเฮาส์สำหรับกลุ่มคนที่เชื่อในพระเจ้า พูดคุยแลกเปลี่ยนและแบ่งปันพระพรให้แก่ชาวเมือง

หลังจากอยู่ได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ผมก็ต้องเดินทางไปเข้าค่าย Incoming IFYE 2025 ที่เมือง Wallisellen โดยมีตัวแทนจากหลายประเทศทั้ง Carol / Hazel / Vivian จากไต้หวัน Kim Hyo-Jeong จากเกาหลี Emilie / Anni จากฟินแลนด์ Isabelle จากสวีเดน และ Mathew จากออสเตรเลีย โดยกิจกรรมแรกที่ได้ทำด้วยกันคือการละลายพฤติกรรมและทำความรู้จัก เดินป่าใกล้แคมป์ที่พักและนำเสนอประเทศของตัวเองให้คนอื่นได้รู้จักมากยิ่งขึ้น

สำหรับวันแรกเป็นอะไรที่อึดอัดพอสมควร ผมไม่ใช่คนพูดภาษาอังกฤษเก่งหรือหัวไว พอพูดได้ครึ่งๆ กลางๆ ก็มักจะถูกเลือนหายในบทสนทนา ถึงอย่างนั้นผมก็เข้าหาด้วยวิธีอื่นอย่างกิจกรรมกีฬา ออกกำลังกายหรือบางทักษะที่มีเฉพาะตัวผมเอง แต่ที่สำคัญที่สุดคือการที่เราไม่ปิดโอกาสตัวเองที่จะทำความรู้จักกับคนอื่น ทุกคนพร้อมจะเป็นมิตรและเข้าหาอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นอย่ากลัวและใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีเปล่งเสียงของตัวเองออกมา

วันต่อมาผมได้ทำ Workshop ด้วยกันเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในสวิสเซอร์แลนด์ ก่อนจะเริ่มกิจกรรมใหญ่ ณ ทะเลสาบในซูริค บรรยากาศข้างในเต็มไปด้วยความสนุกสนานของผู้คนที่มาพักผ่อนจนรู้สึกผ่อนคลายตามไปด้วย หลักๆ ผมเล่นน้ำริมทะเลสาบตามด้วยรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับทุกคนที่เตรียมเองเมื่อตอนเช้า ช่วงบ่ายพวกเราได้ทำกิจกรรมที่เรียกว่า Foxtrail เป็นภารกิจเดินทางสะกดรอยตามหลักฐานที่ทิ้งไว้แต่ละจุดทั่วซูริค ในตอนแรกเป็นกิจกรรมที่ลำบากมาก ทั้งต้องใช้ความคิดและกำลังกายไปตามแต่ละจุด รวมถึงคำใบ้ที่ยากไปหน่อยหากไม่ตั้งใจอ่านให้ดี ถึงอย่างนั้นพวกเราทุกคนก็ไม่ยอมแพ้แล้วมาถึงเส้นชัยจนสำเร็จ ช่วงเย็นเป็นรอบของผมที่ได้นำเสนอประเทศตัวเอง รวมถึงเป็นโอกาสที่ได้แนะนำตัวเองให้กับทุกคนได้รู้จักอีกคร้ัง ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีรวมถึงได้เล่นกิจกรรมเล็กๆ และพูดคุยกับคนต่างๆ จาก IFYE แม้จะเป็นคืนที่ร้อนแต่ก็สนุกไม่แพ้กัน

และวันสุดท้ายของค่าย Incoming IFYE 2025 พวกเราใช้เวลาร่วมกันอีกครั้งกับปาร์ตี้ BBQ แต่ไม่ใช่แค่พวกเราจาก IFYE แต่รวมถึงโฮสแฟมิลี่ของทุกคนด้วย เป็น Olivier ที่เป็นตัวแทนมารับผมและใช้เวลาร่วมกันกับทุกคน ก่อนจะเก็บภาพถ่ายประทับใจเอาไว้เพื่อให้จำได้ว่าพวกเรานั้นมีความสุขมากแค่ไหน ซึ่งหลังจากกลับมาแล้วผมก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากโฮสแฟมิลี่อีกครั้ง ก่อนจะใช้เวลารับประทานอาหารเย็นร่วมกันอย่างมีความสุข

หลังจากกลับมาที่ Suberg ผมก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำกิจกรรมกับโฮสแฟมิลี่ ทั้ง Orienteering ในเมือง Bern ไปช่วยและดูงานโรงเรียนของ Amelie ที่จบการศึกษา ทำอาหารและลองอาหารไทยในสวิสเซอร์แลนด์ งานรวมญาติของครอบครัว ไปเที่ยวที่ Beatenburg ขึ้นเขาด้วยเคเบิลคาร์แล้วลงมาด้วยสกู๊ตเตอร์ยาวกว่าหกกิโลเมตร เที่ยวทะเลสาบ Interlarken ได้ลอง Raclette ซึ่งเป็นอาหารประจำชาติของสวิสเซอร์แลนด์ ไปร้านอาหารอิตาลีกับแม่ของ Andu ไปพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ โรงงานช็อกโกแลต และอื่นๆ อีกมากมายที่รู้ตัวอีกทีก็ถึงวันสุดท้ายแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นครอบครัวนี้ก็ยังคงมอบความอบอุ่นให้ตลอดราวกับผมเป็นหนึ่งคนในครอบครัวของพวกเขา ซึ่งสุดท้ายผมก็ได้เขียนลงสมุด Guestbook แสดงความรู้สึกประทับใจและขอบคุณสำหรับช่วงเวลาสามสัปดาห์นี้

โฮสต์แฟมิลี่ครอบครัวที่สองอยู่ที่ Appenzell ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของประเทศใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการเดินทาง ก่อนจะได้พบกับ Anya ซึ่งเป็นโฮสต์มาเธอร์ของผมมารอรับ บ้านของโฮสแฟมิลี่เป็นฟาร์มปศุสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นไก่ เป็ด นกยูง โค แพ แกะ รวมถึงสุนัข Barry ที่หน้าตาคล้ายสุนัขที่ไทย โดยครอบครัวนี้มีอยู่ทั้งหมดสี่คนคือ Marcus / Alex / Simon แต่เพราะคนอื่นๆ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยทำให้บ้านหลังนี้เหงาไปหน่อยสำหรับผม แต่ถึงอย่างนั้น Anya ก็คอยดูแลผมเป็นอย่างดี

ถึงจะดูเหมือนมาเที่ยวแต่เวลาทำงานก็มีเหมือนกัน วันนี้ผมตื่น 7 โมงและเริ่มงาน 8 โมงเหมือนที่ไทยเลย หน้าที่หลักๆ ของผมคือการดูแลเหล่าสัตว์ทั้งหลายเกือบ 100 ชีวิต ส่วนเวลาที่เหลือคืองานซื้อของทำความสะอาด ก็รู้สึกขี้เกียจเหมือนกันที่เปลี่ยนมู้ดกลับมาทำงานไม่ต่างจากที่ไทย แต่ก็ช่วยไม่ได้มันคือหน้าที่ในฐานะเกษตรกรและตัวแทนของ IFYE ยังไงก็ต้องทำให้ถึงที่สุด และก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วย ฝนตก คงเป็นสิ่งที่นึกออกเวลาจะเขียนสรุป ช่วงนี้ที่แอปเพนเซลฝนตกตลอดทั้งวัน ถึงอย่างนั้นงานก็ยังต้องทำเหมือนเดิมแม้จะต้องตากฝนเพราะไม่งั้นน้องๆ ก็จะอดอาหารกัน วันนี้นอกจากงานปศุสัตว์ก็ทำความสะอาดเหมือนเดิมไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากมีตัวละครใหม่อย่างแมวสุดขี้อ้อนที่คลอเคลียผมอยู่นานหลายนาที ก็คงมีพวกสัตว์นี้แหละที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นบ้าง

แต่ว่าผมก็มีวันหยุดพักเหมือนกัน ซึ่งแต่ละที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่หาได้เพียงเดินทางมาชมด้วยตัวเองเท่านั้น อย่าง St.Gallen Cathedral หอสมุดและพิพิธภัณฑ์ประจำเมือง ถึงแม้เกร็ดความรู้จะเข้าใจยากเหมือนกับบอกคนต่างชาติเกี่ยวกับการปกครองของไทย แต่ก็รู้สึกสนุกที่ได้รู้ประวัติศาสตร์ของเมือง St.Gallen

Santis ซึ่งเป็นศูนย์พยากรณ์อากาศบนภูเขาสูงกว่า 2000 เมตรที่อยู่เหนือก้อนเมฆ โดยพอขึ้นมาข้างบนก็มีจุดชมวิวของเทือกเขารวมถึงมองเห็นประเทศเยอรมนีและออสเตรีย อีกทั้งภายในอาคารยังเป็นนิทรรศการสำหรับเรียนรู้เรื่องสภาพอากาศ ถือว่าแปลกใหม่มากสำหรับผมที่ได้มาพิพิธภัณฑ์แบบนี้

Heidiland การ์ตูนสมัยเด็กสำหรับทุกคน ตอนแรกผมนึกว่าการ์ตูนเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่ง แต่กลับมีอยู่จริง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่สำคัญของสวิสเซอร์แลนด์ก็ว่าได้ อีกทั้งยังได้ไปต่างประเทศในต่างประเทศอีกที ประเทศนั้นชื่อว่า Liechtenstein ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ แต่มีความสำคัญมากทั้งเรื่องของการเงิน ประวัติศาสตร์และการศึกษา

สำหรับโฮสแฟมิลี่นี้อาจจะเร็วไปหน่อยเพราะนอกเหนือจากนั้นก็คืองานในฟาร์มทั่วไป แต่ถ้าถามว่าประสบการณ์ไหนที่ใกล้เคียงกับยุวเกษตรมากที่สุดก็คงจะเป็นที่ Appemzell นี้แหละที่ได้เปิดโลกของเกษตรกรรมมากยิ่งขึ้น วันสุดท้ายที่จะได้อยู่กับโฮสแฟมิลี่ที่สอง วันนี้เลยเป็นวันฟรีสำหรับผมผมเลยเลือกไปเที่ยวในเมือง Appenzell แล้วซื้อของฝากประจำที่นี่ ก่อนกลับผมได้เฉียดไปออสเตรียด้วยแต่สิ่งเดียวที่รู้สึกว่าข้ามประเทศคือใช้เน็ตไม่ได้สามสิบนาทีแค่นั้น แล้วก็โฮสมาเธอร์ซื้อหนังสือเด็กให้ผมด้วย โฮสมาเธอร์บอกว่าเธอรู้จักนักวาดและอยากให้เก็บสะสมความสวยงามของรูปภาพใน Appenzell ถือว่าเป็นของขวัญที่ดีมากเลย

และแล้วก็ถึงวันย้ายโฮสแฟมิลี่ โดยการเดินทางครั้งนี้ได้ Jacob ที่เป็นหนึ่งในโฮสแฟมิลี่ของ IFYE วางแผนให้ เป็นการเดินทางผ่านรถไฟและเรือ ถึงจะนานไปหน่อยแต่ก็ทำให้เห็นทัศนียภาพของประเทศที่สวยงามมากๆ แม้จะเป็นวันฝนตกบวกกับตั๋วมีปัญหาอีกแล้วก็ตาม โดยจุดหมายปลายทางคือ Burgistein ซึ่งอยู่ทางซ้ายของสวิสเซอร์แลนด์

หลังจากมาถึงไม่นานก็มีโฮสแฟมิลี่มารับชื่อ Elisabeth โดยพวกเราได้พูดคุยกับคนในครอบครัว ตอนนี้ผมได้เจอกับ Walter Jacqueline และ Thomas เนื่องจากลูกๆ อายุพอๆ กับผมเลยค่อนข้างอึกอักเล็กน้อยในตอนแรก แต่เพราะวัยเดียวกันก็กลับมาเป็นปกติได้ไม่ยาก วันนี้ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไรเพราะเป็นวันแรกที่ย้าย แต่ดูเหมือนว่าโฮสสุดท้ายที่ผมอยู่น่าจะเน้นไปในทางผสมผสานระหว่างท่องเที่ยวและเกษตรไปในตัว

โดยผมได้ไปหลายสถานที่ เช่น Beatus Swiss Caves ซึ่งเป็นถ้ำที่อยู่แถวทะเลสาบ Interlarken โดยภายในมีหินงอกหินย้อยรูปทรงต่างๆ รวมถึงอธิบายรายละเอียดการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติยาวเกือบหนึ่งกิโลเมตร เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับผมในการเที่ยวธรรมชาติ

ได้เดินเขาห่างจากที่บ้านไปเกือบ 30 นาที เป็นการเดินเขานาน 4 ชั่วโมงแถมเป็นทางลาดชันด้วย โดยเป้าหมายหลักที่ขึ้นไปเพื่อดูการทำชีสจากโรงงานบนเขา ก่อนจะรับประทานอาหารเที่ยงท่ามกลางทุ่งหญ้าและภูเขาของสวิสเซอร์แลนด์ที่สวยงาม พร้อมกับเสียงกระดิ่งของสัตว์เลี้ยง หลังจากพักผ่อนเรียบร้อยช่วงเย็นก็ได้ช่วยโฮสแฟมิลี่ในการดูแลโรงวัว ซึ่งที่นี่ทำเป็นโคนมไม่ใช่โคเนื้อเลยมีเปิดเพลงเวลาปั๊มนมเพื่อให้สัตว์รู้สึกผ่อนคลาย

ได้ไปโรงงานชีสใกล้บ้าน ปกติพอไปโรงงานก็จะเป็นการเดินชมสถานที่มากกว่า แต่ครั้งนี้ต่างออกไปเพราะผมได้เป็นลูกมือช่วยจริงๆ โดยได้เรียนรู้จากเจ้าของร้านที่เปิดกิจการกว่า 20 ปี เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ได้ปั่นจักรยานไปพิพิธภัณฑ์ Abegg-Stiftung ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับของเก่าและงานศิลปะ ไม่ได้เป็นงานภาพทั้งหมดแต่มีพวกงานฝีมือด้วย และได้ไปสถานที่ใกล้ๆ Schilthorn ซึ่งเป็นทางขึ้นไปยัง Top of Europe ทำให้มีนักท่องเที่ยวเยอะมากรวมถึงคนไทยด้วย โดยสถานที่ที่ผมไปเป็นน้ำตกหลายสายตกลงมาจากภูเขา ซึ่งเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก น่าเสียดายที่ถ้ามีเวลา (และเงิน) มากกว่านี้คงได้ไป Jungfrau เพราะค่าเดินทางแพงมาก

มีเรื่องพิเศษคือจะมี IFYE อีกคนมาพักอยู่ที่บ้านเดียวกัน ตอนแรกคิดว่าเป็นหนึ่งใน IFYE ที่รู้จักแต่กลับเป็นคนใหม่ที่ไม่ได้เจอกันใน Incoming Weekend เธอชื่อ Gemma มาจากไอร์แลนด์เหนือและมาแลกเปลี่ยนประมาณ 3 สัปดาห์ ทั้งผมและเธอก็ทำความรู้จักแบบคร่าวๆ เพราะเจอกันครั้งแรกแต่ก็เหมือนว่าจะไปได้ด้วยดี ได้ไป Glacier 3000 ถ้าพูดถึงภูเขาสูงทุกคนก็จะไปที่ Jungfrau เพราะเดินทางได้ด้วยรถไฟถึงราคาจะแพงมากก็ตาม แต่สำหรับที่นี่ก็สวยงามไม่แพ้กัน ถึงแม้จะไม่ได้มีหิมะปกคลุมเพราะเป็นฤดูร้อนแต่ก็มีธารน้ำแข็ง รวมถึงวิวที่ดูสวยงามอย่างสะพานแขวนระหว่างสองยอด ลานน้ำแข็งยาว กิจกรรมเดินเขา กระเช้าขึ้นลง รวมไปถึงโคสเตอร์ความเร็วสูงราวกับได้อยู่ในสวนสนุก เป็นอีกวันที่สุดยอดมากจริงๆ ได้ไปเที่ยวในเมือง Reiggerburg ด้วยจักรยาน ก่อนจะกลับมาเพื่อเตรียมตัวดูพระอาทิตย์ตกดินและพระจันทร์ขึ้นบนภูเขา เป็นวิวที่สวยมาก ได้ไปเล่นน้ำใกล้ๆ บ้าน เป็นอีกวันที่ออกไปกับ Gemma แต่ส่วนมากไปนอนมากกว่า ส่วนช่วงเย็นได้ไปเล่นวอลเลย์บอลกับกลุ่มเพื่อนของ Elisabeth

และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาสุดท้าย ณ สวิสเซอร์แลนด์ โดย IFYE ได้มีจัด Hiking Weekend ส่งท้ายเหมือน Incoming ที่ให้ทุกคนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน โดยสถานที่ไปคือ Gantrisch ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมเคยปีนเขามาก่อนเลยกลายเป็นว่าผมได้ปีนเขาสองครั้งซะงั้น แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือผมได้เล่นน้ำทะเลสาบด้วย ก่อนจะเดินทางไปบ้านพักตากอากาศที่ไกลกว่าสามชั่วโมงบวกกับปีนเขาสามชั่วโมงเป็นเดินหกชั่วโมงในหนึ่งวัน ถึงอย่างนั้นช่วงเวลาที่ได้ทำร่วมกับเพื่อนก็เป็นความทรงจำที่ยากจะลืม

และก็จบไปแล้วสำหรับยุวเกษตรแลกเปลี่ยน ณ สมาพันธรัฐสวิสประจำปี 2568 เป็นสองเดือนที่เร็วมากจริงๆ แต่เต็มไปด้วยประสบการณ์ ความสนุก และความทรงจำที่มีค่าสำหรับผม ขอขอบคุณ IFYE Thailand ที่ได้มอบโอกาสนี้เปิดโลกของเกษตรกรรมให้กว้างขึ้นเพื่อที่จะสามารถนำความรู้ที่ได้มาปรับใช้กับประเทศไทย ท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุด ผมยังต้องรับหน้าที่เป็นโฮสต์แฟมิลี่ให้กับยุวเกษตรที่มาจากสวิสเซอร์แลนด์เหมือนกัน ซึ่งเป็นการตอบแทน IFYE Thailand ในครั้งนี้เช่นกัน ถึงบทความนี้จะมาถึงย่อหน้าสุดท้ายแล้ว แต่การเดินทางของผมยังไม่จบเพียงเท่านี้เพราะเส้นทางการเกษตรไทยยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และรอที่จะมีบุคลากรหน้าใหม่มาเปลี่ยนแปลงวงการและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

ขอขอบคุณครับ

ชยุตพงศ์ พรมลี

Scroll to Top
Skip to content